การป้องกันภัยไซเบอร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่คุณควรรู้!

การป้องกันภัยไซเบอร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก | SOSECURE

การป้องกันภัยไซเบอร์ เริ่มต้นวันนี้เพื่อธุรกิจที่ปลอดภัยในวันหน้า

การป้องกันภัยไซเบอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดไม่ควรมองข้าม เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นปัญหาที่ร้ายแรงและอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดเล็กที่มักตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายกว่า เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่อ่อนแอ หรืออาจขาดผู้เชี่ยวชาญที่มีวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างเหมาะสม

ถ้าหากธุรกิจขนาดเล็กไม่มีการป้องกันภัยไซเบอร์อย่างแน่นหนา ผลกระทบของภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อธุรกิจขนาดเล็กอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การที่ธุรกิจ Colonial Pipeline ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2021 ถูกโจมตีด้วย Ransomware จนทำให้ธุรกิจต้องปิดท่อส่งน้ำมันเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งทาง SOSECURE (โซซีเคียว) ต้องบอกเลยว่าเหตุการณ์ทางภัยไซเบอร์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ธุรกิจขนาดเล็กจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ป้องกันภัยไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามเหล่านี้

การป้องกันภัยไซเบอร์สำคัญอย่างไร ทำไมธุรกิจขนาดเล็กถูกโจมตีได้ง่ายกว่า

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการป้องกันภัยไซเบอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างรุนแรง ทั้งในด้านการเงิน ชื่อเสียง และการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดเล็ก การป้องกันภัยไซเบอร์นั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากธุรกิจขนาดเล็กมักจะไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

ธุรกิจขนาดเล็กมักมีทรัพยากรน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยี ทำให้ไม่สามารถลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพได้ เช่น ไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ หรือการสำรองข้อมูล เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่สามารถซื้อไฟร์วอลล์ระดับองค์กร หรือซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่อัปเดตเป็นประจำได้ ทำให้ระบบเครือข่ายและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของธุรกิจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือแฮกเกอร์ได้ง่าย

พนักงานในธุรกิจขนาดเล็กมีจำนวนน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ยากต่อการควบคุมและตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงาน โดยพนักงานอาจตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงให้คลิกลิงก์ หรือเปิดไฟล์แนบอันตราย เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่มีเวลาหรือทรัพยากรเพียงพอที่จะมีการจัดอบรมให้พนักงานเข้าใจถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างจริงจัง ซึ่งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี้อาจส่งผลให้พนักงานคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้ตรวจสอบ และอาจทำให้ข้อมูลของธุรกิจถูกขโมยหรือเสียหายได้

พนักงานในธุรกิจขนาดเล็กมักมีความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการป้องกันภัยไซเบอร์น้อยกว่าพนักงานในธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่าย เช่น การเลือกใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ การคลิกลิงก์ต่าง ๆ โดยไม่ตรวจสอบ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น พนักงานในธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงของการเลือกใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ หรืออาจไม่ทราบว่าลิงก์หรือไฟล์แนบที่ส่งมาทางอีเมลอาจเป็นอันตราย ซึ่งนั่นอาจทำให้ข้อมูลของธุรกิจถูกขโมยไปได้ง่าย

ธุรกิจขนาดเล็กมักมีข้อมูลน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กลับเป็นเป้าหมายที่ง่ายกว่าสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์อาจประเมินว่าธุรกิจขนาดเล็กมีทรัพยากรน้อยกว่า การรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ของระบบอ่อนแอกว่า พนักงานมีความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการป้องกันภัยไซเบอร์น้อยกว่า 

ตัวอย่างเช่น อาชญากรไซเบอร์อาจประเมินว่าธุรกิจขนาดเล็กมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะตอบโต้การโจมตีทางไซเบอร์ได้ เช่น มีงบประมาณจำกัด จึงอาจไม่มีเงินจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หรือมีพนักงานไม่เพียงพอที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ อาชญากรไซเบอร์อาจประเมินว่าธุรกิจขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะยอมจ่ายค่าไถ่มากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญเสียธุรกิจมากกว่านั่นเอง

รูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยในธุรกิจขนาดเล็กมีอะไรบ้าง

ในสภาพแวดล้อมของภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์อยู่เรื่อยมา เนื่องจากทรัพยากรที่จำกัดและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อ่อนแอ ดังนั้นการทำความเข้าใจภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบต่าง ๆ ที่ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่เผชิญอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากลยุทธ์และวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยรูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยในธุรกิจขนาดเล็ก ได้แก่

  1. การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) รูปแบบการโจมตีที่ผู้โจมตีจะส่งอีเมลปลอมที่มีเนื้อหาหลอกลวงให้เหยื่อคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ มัลแวร์จะถูกติดตั้งลงในเครื่องของเหยื่อ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน หรือทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสียหาย
  2. การโจมตีแบบแรนซัมแวร์ (Ransomware) รูปแบบการโจมตีที่ผู้โจมตีจะเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลของเหยื่อและขู่ว่าจะเปิดเผยหรือทำลายไฟล์เหล่านั้นหากเหยื่อไม่จ่ายค่าไถ่ การโจมตีแบบแรนซัมแวร์อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ
  3. การโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) รูปแบบการโจมตีที่ผู้โจมตีจะส่งปริมาณข้อมูลจำนวนมากไปยังเว็บไซต์หรือระบบของเหยื่อ เพื่อทำให้เว็บไซต์หรือระบบไม่สามารถให้บริการได้ การโจมตีแบบ DDoS อาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสูญเสียลูกค้าหรือชื่อเสียง
  4. การโจมตีแบบ Social Engineering รูปแบบการโจมตีที่ผู้โจมตีจะหลอกล่อเหยื่อให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางการเงินของตน การโจมตีแบบ Social Engineering อาจเกิดขึ้นได้หลายวิธี เช่น การโทรหาเหยื่อ การปลอมเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ หรือการสร้างเว็บไซต์ปลอมที่มีลักษณะคล้ายเว็บไซต์จริง
  5. การโจมตีแบบ Zero-day รูปแบบการโจมตีที่ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ยังไม่มีการแก้ไข การโจมตีแบบ Zero-day มักยากต่อการป้องกัน เนื่องจากผู้โจมตีจะโจมตีก่อนที่ช่องโหว่จะถูกแก้ไข

ธุรกิจขนาดเล็กป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างไรบ้าง

จากรูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยในธุรกิจขนาดเล็กข้างต้นนั้น แน่นอนว่าธุรกิจขนาดเล็กควรให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยไซเบอร์และการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์อย่างจริงจัง โดยสามารถใช้แนวทางเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันภัยทางไซเบอร์ต่าง ๆ ได้ 

  • กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยไซเบอร์

ควรกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างชัดเจน ให้พนักงานทุกคนเข้าใจถึงแนวทางปฏิบัติที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจกำหนดนโยบายห้ามพนักงานคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบที่ส่งมาทางอีเมลจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

  • จัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์

ควรจัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ การป้องกันภัยไซเบอร์ และแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีเลือกใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย วิธีตรวจสอบลิงก์และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย และวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ไม่ให้พนักงานตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางฟิชชิง

  • ลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

ควรมีการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ระบบเครือข่ายและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของธุรกิจปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจติดตั้งไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ และซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยอื่น ๆ

  • สำรองข้อมูลเป็นประจำ

ควรสำรองข้อมูลของธุรกิจเป็นประจำ เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากข้อมูลสูญหายหรือเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ เนื่องจากการสำรองข้อมูลเป็นประจำจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถกู้คืนข้อมูลได้หากข้อมูลสูญหายหรือเสียหาย ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติและไม่สูญเสียข้อมูลที่สำคัญ

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขนาดเล็กควรสำรองข้อมูลไปยังอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก หรือสำรองข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ โดยธุรกิจขนาดเล็กควรเลือกผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่เชื่อถือได้และให้บริการสำรองข้อมูลตามความต้องการ

ซึ่งการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยไซเบอร์ข้างต้น จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ SOSECURE ต้องขอบอกเลยว่าการเลือกใช้ผู้ให้บริการด้าน Cybersecurity คืออีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์การป้องกันภัยไซเบอร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้ให้บริการด้าน Cybersecurity นั้น มีตัวเลือกของบริการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์และวิธีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สามารถช่วยป้องกันภัยไซเบอร์ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ 

Share